ชีวิตในอเมริกาของผมไม่ได้สวยงามตลอดไปนัก.. ช่วงหนึ่งของการเรียนผมจำเป็นต้องอยู่อพาตเม้นท์ที่เต็มไปด้วยแมลงสาบมากกว่า 100 ตัว เดินไต่ตามแนวกำแพงทุกวัน
ช่วงนั้นผมเรียนอยู่ในเมือง Phoenix รัฐ Arizona จะว่าไปรัฐร้อน ๆ อุณหภูมิ 50 องศานี้เหมือนเป็นบ้านของผมไปแล้ว
มหาวิทยาลัยบอกว่า ผมได้อพาตเม้นต์สองห้องนอน และถูกจับให้อยู่กับ Roommate คนแม็กซิกันอีกสองคน รวมผมด้วยก็เป็นสาม ถามว่า คนสามคนกับห้องนอนสองห้องมันจะอยู่กันยังไง??..
คนแรกมาถึงอพาทเม้นต์ก่อน เขาบอก “ไอเลือกห้องใหญ่สุด” first come first serve เว้ย
โอเค้… ฉันช้าเอง…
ดังนั้นผมต้องจับคู่กับเพื่อนแม็กซิกันร่างใหญ่อีกคน และนอนเบียดกันในห้องเล็ก ๆ
เพื่อนแม็กซิกันที่ต้องนอนกับผม บอกผมว่า .. “ยู นอนไปเถอะ เดี๋ยว ไออาสาไปนอนห้องรับแขกให้เอง”
เหยย.. นิสัยดีว่ะ ขัดกับหน้าตาอันเหี้ยมโหดและรูปร่างอันสูงใหญ่ของเขามาก
แม้ว่าผมจะได้ครอบครองห้องนอนคนเดียว แต่เจ้าห้องนี้ก็ไม่ได้แย่แค่ขนาดที่เล็กกว่าห้องแรก แต่ยังอยู่ติดห้องน้ำที่ผมจะเข้าไปเฉพาะเวลาต้องทำธุระ และทำอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ว่าผมจะอาบน้ำ หรือแปรงฟัน แมลงสาบเป็นร้อย.. ใช่ครับ เป็นร้อยตัวจริง ๆ ก็เดินอยู่ตามขอบกำแพง ขอบอ่างล้างหน้า
ช่วงเวลานั้นผมไม่อยากกลับอพาตเม้นท์เลย เพราะกลับมาก็เจอสภาพห้องไม่ดี
สิ่งเดียวที่ดีคือเพื่อน..
เพื่อนแม็กซิกันร่างโตที่ช่วยดูแลผมเป็นอย่างดี
ช่วงหนึ่งผมทำงานดึกตามประสานักเรียนวัยรุ่น.. ตี 2 ตี 3 ไม่นอนบ่อยมาก จนห้องข้าง ๆ ลุกขึ้นมาเคาะประตูด่าหาเรื่อง แต่เพื่อนแม็กซิกันผมสองคนทำตัวเหมือนบอดี้การ์ด ออกตัวไปจัดการให้ ไหน.. ใครมาด่าเพื่อนไอ โดนแน่!!
ไม่รู้ว่าเขาเห็นใจเพราะเราตัวเล็กรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ
ส่วนผมก็ตอบแทนเขาด้วยการชวนนั่งรถไปมหาวิทยาลัยด้วยกันในวันที่มีเรียน
….
มีอยู่คืนหนึ่งผมไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตกับเพื่อนร่างโตของผม เขาเลือกซื้อของเขา ผมเลือกซื้อของผม
ผมจ่ายเงินก่อน..
ส่วนเขาไม่จ่ายเงิน.. เขาจ่ายเป็นคูปองกระดาษ
ผมถาม “เห้ยอะไรอ่ะ”
เพื่อนบอก มันเป็นคูปองอาหาร..
ผมจึงเพิ่งรู้จักว่าที่อเมริกามีคูปองอาหารให้กับคนที่ต้องการด้วย
อยู่มาตั้งนาน ผมเพิ่งรู้ว่าเพื่อนผมคนนี้ไม่ได้มีเงินทองมากนัก
แต่เราก็ไม่เคยดูถูกกัน ไม่เคยคุยกันเรื่องเงินทอง
…….
จนกระทั่งวันหนึ่ง..
ผมตื่นเช้าขึ้นมา..
ห้องนอนผมที่ไม่เคยล็อคกลับถูกเปิดแง้ม..
กุญแจรถผมไม่ได้วางไว้ที่เดิมกับเมื่อคืนที่ผมเห็น
บางอย่างผิดปกติ..
แต่ผมไม่ได้เอะใจ คิดว่าน่าจะจำที่วางกุญแจผิด จึงใช้ชีวิตเหมือนเคย อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันอย่างรวดเร็วเพื่อหนีแมลงสาป และเตรียมพร้อมไปมหาวิทยาลัย..
จนกระทั่ง ผมไปเปิดประตูรถ
“เครื่องเล่นซีดีของผมหายไป”
แต่กระจกรถไม่แตก ไม่โดนทุบ แต่เครื่องเล่นเพลงหายไปอย่างไร้ร่องรอย ผมมุดหาใต้เก้าอี้ หาในลิ้นชัก หาในทุกที่ที่มันควรจะอยู่ แต่ไม่มี มันหายไปจริง ๆ
ผมเดินกลับไปที่อพาตเม้นท์แล้วถามเพื่อนร่างใหญ่ของผมที่นั่งกินซีเรียลเป็นอาหารเช้าว่า “ยูเห็นเครื่องเล่นเพลงของไอไหม”
เพื่อนบอก “โนววว.. ไม่เห็น”
ผมสังเกตได้ว่าแกมีอาการเลิ่กลักอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
ใจเราคิดว่า “ใช่! มันใช่แน่ ๆ”
แต่เราจะเอาไงดี จะไปรื้อกระเป๋าเขาไหม จะค้นตัวไหม?
ผมเดินกระวนกระวายหาเครื่องเล่นนั้นอยู่ซักพัก ระวิงเวลาในการตัดสินใจด้วยว่าจะเอาไงกับเพื่อนคนนี้ดี ทำไมมึงขโมยของกูวะ ในใจนึก..
สุดท้าย..
ผมเดินออกจากอพาตเม้นต์..
เข้ามานั่งในรถนิ่ง ๆ
แล้วขับออกไป
ในใจคิดว่า “ปล่อยมันไปเถอะ เครื่องเล่นเพลงเครื่องเดียว” ถ้าเขาเอาไปจริง ๆ เขาคงมีเหตุจำเป็น แถมเครื่องเล่นก็เก่าแล้ว ช่างมันเหอะ ไว้เก็บเงินซื้อใหม่ก็ได้ แต่เพื่อนร่างใหญ่ที่คอยดูแลเราอาจจะหาใหม่ไม่ง่าย
ไม่รู้ว่าวันนั้นตัดสินใจถูกไหม
กลับมานั่งนึกถึงวันนี้ หรือเวลาเล่าให้ใครฟัง ก็รู้สึกขำตัวเองทุกครั้งว่า ทนอยู่ที่นั่นไปได้ไง..
แต่บอกเลยว่า ที่ทนอยู่ได้ และรอดมาได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะมีเจ้าเพื่อนแม็กซิกันร่างใหญ่คนนี้แหละ
.
ปล. ผมทนอยู่ที่นั่นได้ 7 เดือน จนพวกเราทั้งสามคนโดนไล่ออกจากอพาตเม้นต์เพราะผมทำงานแล้วเปิดเพลงเสียงดังเกินไป ส่วนเพื่อนผมก็ไปไฟท์กับข้างบ้านให้ผมมากเกินไป… เพื่อนผมคอตกเพราะไม่รู้ว่าจะย้ายไปไหน.. ส่วนผมดีใจมาก เพราะได้ย้ายออกจากรังแมลงสาบซักที
