Mindshift #2/52 “ขับรถไม่ต้องกลัวชนคนอื่น เพราะคนอื่นก็กลัวชนเราเหมือนกัน”

Mindshift #2/52 “ขับรถไม่ต้องกลัวชนคนอื่น เพราะคนอื่นก็กลัวชนเราเหมือนกัน”

ประโยคนี้เป็นคำพูดของพี่สาวผมเองครับ

ย้อนกลับไปหลายสิบปี เมื่อครั้งที่ผมเพิ่งเริ่มหัดขับรถใหม่ ๆ แน่นอนว่าทุกคนที่ขับรถบนท้องถนนในปัจจุบันต้องมีโมเม้นต์นั้น โมเม้นต์ที่เราได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัย จับพวงมาลัย เป็นครั้งแรกที่เราได้เหยียบคันเร่ง ออกถนนจริง ๆ จัง ๆ

ไม่แปลกที่ทุกคนจะรู้สึกหวาดกลัว ตื่นเต้น ผมเองก็เช่นกัน

มีคนเคยบอกผมว่า การขับรถบนถนน ตรอกซอย ที่แม้จะใช้ความเร็วต่ำ แต่กลับยากกว่าการขับบนทางด่วนที่ใช้ความเร็วสูง

ทีแรกผมไม่เชื่อเช่นนั้น เพราะด้วยความมือใหม่เราก็คิดว่า ขับช้า ๆ ก็ต้องปลอดภัยกว่าขับเร็ว ๆ อยู่แล้ว

แต่เมื่อได้ขึ้นทางด่วนก็ค้นพบว่า การขับบนทางด่วนนี่ง่ายกว่าที่คิด ตรงไปเรื่อย ๆ นาน ๆ เปลี่ยนเลนที

มีคนบอกอีกว่า ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองขับเก่งแล้วหรือยัง ต้องไปลองขับรถรอบวงเวียนใหญ่ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น? เพราะวงเวียนใหญ่เป็นแยกที่น่ากลัว มีรถจำนวนมากที่วิ่งกันแบบไร้รูปแบบ ไม่มีแบบแผนใด ๆ คุณต้องสำรวจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ข้างหน้า ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างหลัง รอบตัว ขับกันแบบ 360 องศา

แต่การขับรถครั้งแรก ๆ ของผม ครูที่สอนผมขับรถไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพี่สาวของผมเอง พี่ที่ขณะนั้นกำลังเรียนอยู่ปริญญาโท เธอบอกว่าขับไปเลย รอบ ๆ มหาวิทยาลัย เดี๋ยวเธอจะเป็นครูสอนให้เอง

ผมขับอยู่เรื่อย ๆ รอบ ๆ มหาวิทยาลับจนชำนาญ แต่เมื่อถึึงครั้งที่ต้องออกถนนใหญ่ ผมก็ตัวแข็งทื่อ ไม่มั่นใจ

จนกระทั่งพี่สาวของผมพูดขึ้นมาว่า “ขับรถไม่ต้องกลัวชนคนอื่น เพราะคนอื่นก็กลัวชนเราเหมือนกัน”

และนั่นเปลี่ยนความคิดของผมไปโดยสิ้นเชิง

“เออว่ะ! เรากลัวชนเค้า เค้าก็น่าจะกลัวชนกะเราด้วยเช่นกัน” ดังนั้นโอกาสผิดพลาดของเรามีแค่ 50% นั่นคือถ้าผมเผลอขับรถเอียงกินเลนอื่น ก็ใช่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุทันที แต่รถที่ผมกำลังเอียงเข้าหา เขาก็ต้องป้องกันตัวเองด้วย เขาอาจจะลดความเร็วลง หรือเปลี่ยนไปเลนอื่น และนั่นจะทำให้โอกาสเกิดอุบัติเหตุอาจจะเป็นศูนย์ หรือพูดง่าย ๆ ว่า ถ้าผมทำผิด ก็จะมีอีก 50% ที่ช่วยเหลือผมอยู่ เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะขับรถชนกับผมเช่นกัน

ความคิดนี้ทำให้ผมกล้าขับรถมากขึ้น

แต่มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น ความคิดนี้มันฝังหัวผมเรื่อยมาจนกระทั่งผมเติบโต และทำงาน เพราะสิ่งที่ผมเรียนรู้ ไม่ใช่แค่ความคิดที่ว่า “เห้ย ฉันขับรถไม่ต้องกลัวมาก เพราะมันไม่ชนง่าย ๆ หรอก” แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ การได้ “คิดในมุมของผู้อื่น”

ขณะที่ผมกลัวว่าจะขับรถชนรถคันอื่น รถคันอื่นก็กลัวจะชนผมด้วยเช่นกัน

ผมไม่ใช่จุดศูนย์กลางของจักรวาล

กฎเดียวกัน สามารถใส่เข้าไปได้กับหลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรอบตัวเข่น ถ้าผมทำอาหารที่ผมคิดว่าอร่อย ก็ใช่ว่าจะอร่อยสำหรับคนอื่น

หรือถ้าผมคิดว่ารูปภาพนี้สวย ก็ใช่ว่าจะสวยสำหรับทุกคน

ในเชิงการทำธุรกิจก็เช่นกัน ถ้าผมคิดว่าสินค้าตัวนี้ดี ก็ใช่ว่าจะดีสำหรับลูกค้า

และในทางตรงกันข้าม ถ้าสินค้าตัวนี้ไม่ได้เรื่อง ก็ใช่ว่ามันจะไม่ได้เรื่องสำหรับทุกคน

ผมอยู่ในวงการเทคโนโลยีมานานกว่า 20ปี ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของเทคโนโลยีมากมาย มีเทคโนโลยีทั้งดีและร้าย บางตัวแลดูตลก บางตัวมองเห็นครั้งแรกก็รู้เลยว่าไม่เวิร์ค แต่บางตัวที่คิดว่าไม่ได้เรื่องแต่กลับขายได้ดีและใช้กันอย่างแพร่หลายไม่น้อยเลยเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น แผ่นซีดี ก่อนที่จะเป็นแผ่นซีดี พวกเราใช้แผ่นฟล๊อปปี้ดิสก์พลาสติกที่สามารถโยนให้กันได้ และไม่ต้องกลัวจะหล่นมากนัก แต่ด้วยความที่แผ่นฟล๊อปปี้มีความสามารถที่จำกัด มันสามารถเก็บข้อมูลได้เพียงแค่ 1.44MB ซึ่งถ้าเทียบกับแผ่นซีดีแล้ว ณ เวลานั้นมันสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 650MB หรือ 600เท่าตัวโดยประมาณ

ในเมื่อคุณสมบัติมันดีแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้นแล้ว ทำไมผมถึงคิดว่าซีดีจะยังไม่เวิร์คอยู่ล่ะ?

ก็เพราะว่าในเวลานั้นมีอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจออกมา นั่นคือ “MD” หรือย่อมาจากคำว่า Mini Disc นั่นเอง

Mini Disc เป็นแผ่นดิสก์แวววาวเหมือนซีดี แต่แตกต่างตรงที่ตัวมันมีขนาดเล็ก พกพาง่าย และที่สำคัญคือมีพลาสติกห่อหุ้มตัวแผ่น ทำให้เราสามารถโยนหากันได้ หรือพูดง่าย ๆ คือไม่ต้องถนุถนอนมันมากก็ได้ ซึ่งตรงนี้ทำให้ MD มีจุดแข็งที่มากกว่าซีดีหลายขุม (แน่นอนว่าถ้าคุณเคยใช้ซีดีคุณจะรู้ถึงความเจ็บปวดเมื่อแผ่นเก็บข้อมูลขนาด 650MB ของคุณมันหายไปกับตาเพียงแค่รอยข่วนเล็ก ๆ ไม่กี่รอย)

ผมเชื่อว่า ซีดี จะไม่เกิด ..แต่ผิดคาด มันเกิดได้อย่างสง่าผ่าเผยและยืนหยัดอยู่ในวงการได้นานมาก ๆ ที่สำคัญมันยังเตะสินค้าตัวที่ผมเชื่อว่าดีกว่ามากอย่าง MD ซะตกกระป๋องไปเลย

แต่ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่กำลังจะบอกว่า เมื่อเราแค่มองในมุมของเรา เราก็จะเข้าใจแค่ในมุมของเรา แต่เมื่อเราต้องทำงานให้ผู้อื่น ทำสินค้าให้ผู้อื่นใช้ เมื่อนั้น มันไม่ได้มีแค่เราแล้วเท่านั้นที่จะบอกว่าสินค้าตัวนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่เป็นคนหมู่มากที่จะบอกเราว่าสินค้านี้ดีหรือไม่ดีอย่างไรต่างหาก

คำพูดประโยคง่าย ๆ ที่บอกผมว่า บนท้องถนนไม่ได้มีแค่เราเท่านั้นนะที่ไม่อยากชนรถคันอื่น แต่รถคันอื่นก็ไม่อยากชนเราเช่นกัน

เป็นไอเดียของการไปนั่งในใจผู้อื่น ในทุกสถานะ

และเมื่อคุณรู้จักการใส่ใจในตัวผู้อื่นแล้วละก็ ผมเชื่อว่ามันจะนำความสำเร็จอย่างมากมายมาให้คุณ ซึ่งอาจจะหาค่ามิได้

ดังนั้นจงจำไว้ครับ..

“ขับรถไม่ต้องกลัวชนคนอื่น เพราะคนอื่นก็กลัวชนเราเหมือนกัน”

Up Next:

ทำไมปีหมูจึงไม่ควรมีแต่เรื่องหมู ๆ

ทำไมปีหมูจึงไม่ควรมีแต่เรื่องหมู ๆ