20 วิธีบูสต์พลังให้เกิดไอเดีย

20 วิธีบูสต์พลังให้เกิดไอเดีย

นั่งเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก หัวหน้าบอกให้ไปหาไอเดียใหม่มาก็ไม่รอด มาดูกันว่าอยากได้ไอเดีย อยากคิดให้ออกต้องทำไง..

ผมขอแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ จะได้ลองไปใช้กันได้ง่าย ๆ นะครับ

กลุ่ม 1 คือ “อยากได้ไอเดียทันที”

กลุ่ม 2 คือ “ยังพอมีเวลาอีกซักอาทิตย์สองอาทิตย์”

กลุ่ม 3 คือ “สร้างฐานให้มี Creativity ระยะยาว”

อ่ะมาดูกัน..

ย้ำว่านี่มาจากประสบการณ์ตัวเองล้วน ๆ เพื่อน ๆ มีเทคนิคเพิ่ม คอมเม้นต์กันมาได้ครับ (เผื่อนำไปใช้บ้าง)

กลุ่ม 1: อยากได้ไอเดียทันที..

  1. จับโจทย์ให้ชัด ผลลัพธ์ให้เคลียร์

คืองี้ บางทีไอเดียไม่เข้าเป้า ไม่ใช่ว่าไอเดียไม่ดี แต่ว่าโจทย์ไม่ชัด ผลลัพธ์ไม่เคลียร์ หัวหน้าบอก “อยากได้ไอเดียดี ๆ ไปคิดมาหน่อย” อันนี้คือไม่ชัดสุด ๆ “ไอเดียดี” ของหัวหน้าแปลว่าอะไร? ต้องชัดเจน เช่น “อยากได้ไอเดียที่ไม่เหมือนเดิม, ไอเดียที่เจาะกลุ่ม target ใหม่, ไอเดียที่จะลดต้นทุน”

จากนั้นก็ไปเคลียร์มาอีกว่า target ใหม่เป็นอย่างไร, ลดต้นทุนคือเท่าไหร่

โจทย์ชัด จะตัดสินได้ว่า ไอเดียไหนดีหรือไม่

  1. เลือกคนที่เข้าใจและมีความรู้ด้านนั้น

เพราะคนที่รู้และเข้าใจ จะคิดได้ไวกว่า ถ้าเราไม่รู้ แต่ได้รับโจทย์มา งั้นก็ต้องหาความรู้เพิ่มอย่างรวดเร็ว คุณไม่มีทางคิดไอเดียได้ดีถ้าคุณไม่เข้าใจในโจทย์

ถ้าเป็นหัวหน้า อยากได้ไอเดียจากน้องในทีม ให้เลือกมาว่าคนไหนที่เข้าใจในสินค้าและโจทย์ของเรามากที่สุด คนนั้นจะช่วยได้ดี

  1. แต่ไม่ลืมคนที่คิดนอกกรอบ!!

คนที่ไม่มีความรู้ ไม่ได้หมายความว่าจะคิดไม่ได้ แต่ไอเดียเค้าจะนอกกรอบ จะฟุ้ง หรืออาจจะออกทะเลไปเลย ซึ่งนั่นหมายความว่า “ดี” และ “ไม่ดี” ด้วยเหมือนกัน ดังนั้น มีอะไรที่ออกทะเลมาผสมบ้างก็ดี แต่ไม่ต้องมาก เดี๋ยวไม่จบ.. ซัก 20% ก็พอ

  1. เลือกคนที่ชอบคิด!!

ใน Strength Finder จะมีการวัดผลที่บอกว่า คนบางคนมีจุดแข็งคือชอบคิด ถ้าเลือกคนเหล่านี้มาได้จะเวิร์คมาก เพราะบางคนเป็นสายทำงาน สาย task killer อาจจะไม่มี skill ด้านนี้มาก ถ้าอยากได้ไอเดียเร็ว ต้องเลือกคนให้ถูก

  1. ใช้เทคนิค Brainstorm

มีหลายเทคนิค แต่ขอแนะนำเทคนิคที่ใช้ได้ง่าย ๆ เช่น..

5.1 ปากกาสำหรับผู้มีสิทธิ์พูด: ใครถือปากกา คนนั้นต้องพูด แล้วสลับกันถือ ข้อดีจะทำให้คนไม่พูดได้พูด และจะทำให้คนที่พูดมากเกินไปหยุดพูดแทรกคนอื่น

5.2 จำลองว่าฉันเป็นคนอื่น: “ถ้าเป็นอีลัน มัคก์ เขาน่าจะคิดแบบนี้…” หรือ “ถ้าเป็นหัวหน้า เขาน่าจะแก้ปัญหาแบบนี้” วิธีนี้เป็นการออกไอเดีย โดยไม่ต้องเอาตัวเข้าแลก คือบางองค์กรคนในองค์กรไม่กล้าพูด เพราะกลัวว่าจะโดนหาว่าไอเดียไม่เอาไหน ดังนั้นการจำลองว่าเป็นคนอื่นจะทำให้คนกล้าพูดมากขึ้น

5.3 แปะ Post it แบบไม่บอกตัวตน: เช่นเดิม อยากให้ทุกคนออกไอเดีย แต่ไม่อยากถูกตีตราว่าเป็นคนไอเดียไม่ดี หรือไอเดียไม่ได้รับเลือก ดังันั้นให้เขียนไอเดียไว้บน Post it แล้วแปะรวม ๆ กัน จากนั้นให้เลือกไอเดียที่คิดว่าดี วิธีนี้จะทำให้ทุกคนกล้าออกความเห็น และไม่กลัวที่จะโดนปัดตก

5.4 ไล่ 4W 1H, What Where When Why How: บางทีเราคิดไม่ออกเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก ให้ไล่ว่า เราจะทำอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไหร่ ทำทำไม และทำอย่างไร ไล่ไปทีละข้อ จะช่วยจัดลำดับความคิดที่วุ่นวายได้

….

มากลุ่มที่ 2 บ้าง กลุ่ม 2 คือ “ยังพอมีเวลาอีกซักอาทิตย์สองอาทิตย์”

  1. หาข้อมูลเพิ่ม ถามเพื่อน

อย่างที่บอกไปเบื้องต้นว่า คนที่มีความรู้ในเรื่องนั้น จะคิดได้ดีกว่า ดังนั้นถ้าเราไม่รู้ ก็จงออกไปหาข้อมูลเพิ่ม อย่ามัวแต่ถามแค่ chatgpt โว้ววว.. และบางทีคนที่รู้ก็อาจจะไม่ได้อยู่ในวงคนทำงาน แต่อาจจะเป็นเพื่อนนอกที่ทำงานก็ได้ ลองนัดเพื่อนคุย พี่ ๆ ที่รู้จักคุย งานนี้ล่ะ ไอเดียเพียบ!!!

  1. ทิ้งเวลาหาแรงบันดาลใจ

ผมเคยทำงานในต่างประเทศ ตอนนั้นคิดงานเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก หน้ายุ่งหัวยุ่งไปหมด เจ้านายผมเดินมาแล้วบอกว่า “you should go home” บอกให้กลับบ้านเฉย ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะบ่าย 3 แต่เราก็กลับ แล้วก็ไปเดินเล่นห้างฯ

ความ relax จะทำให้ไอเดียไหลออกมาได้เฉย เหมือนตอนที่เราอาบน้ำแล้วคิดงานออก เพราะว่านั่นคือช่วงเวลาที่เรา relax ที่สุดแล้ว no distraction ใด ๆ ไม่มีมือถือ ไม่มีอะไรรบกวน

  1. จดแล้ว บ่ม

ผมเชื่อว่าไอเดียดี ต้องดีตลอดไป.. ดังนั้นเวลาคิดอะไรออกมาได้ ผมจะไม่รีบบอกคนอื่นว่าคิดอะไรได้บ้าง เพราะบางทีวันนี้มันดูดี แต่อีกวันอาจจะไม่แล้ว ดังนั้นถ้ามีเวลา ผมจะ “บ่ม” ก่อน

ทิ้งไว้ 2-3 วัน ถ้าเรายัง “จำได้”​ แปลว่าเห้ยมันเจ๋งว่ะ ฝังใจ ประทับใจ จำได้ แต่ถ้า 2-3 วันแล้วลืม แปลว่ามันไม่ดีจริง เราคิดเองยังลืม

และถ้า 2-3 วันแล้วเรายังเห็นว่า “เออมันดี!” นั่นแหละ ค่อยไปลองคุยกับคนอื่นดู

จำได้ว่าเคยอ่านว่า เสี่ยตัน พูดว่า เวลาเค้าคิดชื่อแบรนด์ใหม่ เค้าจะคิดแล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน ถ้าผ่านไปแล้วเค้ายังจำชื่อนั้นได้ แปลว่ามันดี มันจดจำง่าย มันตรึงใจ

  1. Worst case scenario

บางคนคิดไม่ออก หรือไม่กล้าคิดอะไรใหม่ ๆ เพราะว่า “กลัว” กลัวจะผิดจะพลาด ผมมีเทคนิคนี้ครับ

ให้คิดถึง “สิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นถ้าทำเรื่องนี้” เช่น ถ้าทำไปแล้วแย่ที่สุดคือ ขาดทุน 10,000 บาท .. ซึ่งรับได้นะ โอเค งั้นก็ทำไปเล้ยยย!! แต่ถ้าทำแล้วแย่สุดอาจจะต้องโดนไล่ออกจากงาน!! เห้ยย งั้นหยุดไว้ก่อน

วิธีนี้จะทำให้เรารู้ว่า เรากำลังเล่นอยู่กับอะไร ถ้าความเสี่ยงไม่แย่มากนัก เราก็จะกล้าคิดกล้าทำครับ

  1. เลิกคิดลบ จบอคติ

บางทีคิดไม่ออกเพราะว่าอคติมันเยอะ!! แบรนด์นี้เค้าภาพลักษณ์ไม่ดี เราจะไปคิดงานให้เค้าได้ไง.. งบเค้าน้อยจะทำของดีได้ไง.. จริงอยู่ เรื่องพวกนี้เป็นกรอบที่เราต้องมองให้เห็นจะได้ไม่ออกนอกกรอบเลอะเทอะเกินไป แต่ต้องยอมรับว่า เพราะกรอบเล่านี้ก็อาจจะทำให้เราคิดอะไรไม่ออกได้ด้วยเหมือนกัน

ลองลบอคติดูก่อน เพราะความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่แค่เอาไว้สร้างสิ่งใหม่อย่างเดียว แต่ไอเดียที่ดีต้องแก้ไขปัญหาเก่า ๆ ได้ด้วยครับ

….

ต่อกันที่ กลุ่มที่ 3 คือ “สร้างฐานให้มี Creativity ระยะยาว”

  1. ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์

ผมพูดบ่อยมากเวลาไปบรรยายว่า “สมองเราก็เหมือนตู้เย็น” ในตู้เย็นบ้านเรามีกับข้าวอะไร เราก็จะทำเมนูอาหารได้ตามนั้น ถ้าในตู้เย็นมีแต่ไข่ ก็ทำได้แค่เมนูไข่ แต่ถ้ามีผัก มีเนื้อ ก็จะทำได้หลากหลายขึ้น

คนส่วนใหญ่คิดอะไรไม่ออก เพราะไม่เคยเปิดโลก ไม่เคยมองเห็นอะไรกว้าง ๆ ใหม่ ๆ มันก็จะคิดได้แค่เท่าที่รู้ที่เห็น แม้จะดูคลิปมามาก ก็ไม่เท่ากับไปสัมผัสเอง

ไม่ต้องถึงกับไปเที่ยวต่างประเทศทุกเดือน แค่ลองไปเจออะไรใหม่ ๆ เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ไปลองวิ่ง 10กิโล, ไปลองดำน้ำ, ไปลองเรียนจัดดอกไม้ ฯลฯ

เชื่อผมว่า แม้มันจะไม่เกี่ยวกับงาน เดี๋ยวมันจะเป็นวัตถุดิบที่ดี เป็นกับข้าวที่ดีในตู้เย็นสมองของคุณเองแหละ

เพราะความคิดสร้างสรรค์คือการสร้างสิ่งใหม่โดยการผสมจากวัตถุดิบเดิม

  1. โฟกัส ๆๆๆๆๆ

เชื่อเลยว่าคุณคิดได้เยอะกว่าที่ตัวเองรู้ซะอีก แต่บางทีเราไม่เคยมีสมาธิ

ลองฝึกอะไรพวก Pomodoro 25นาที โฟกัส เทคนิคดู เชื่อว่าคุณจะได้ของออกจากหัวได้เยอะมาก ๆ หรือลองฝึกนั่งสมาธิดูก็ได้ การฝึกแบบนี้เรื่อย ๆ จะทำให้คุณโฟกัสได้มากขึ้นไปอีกมาก ๆ เลย

อ่ะ ครบจบแล้ว

จริง ๆ มีอีกเพียบที่อยากจะเล่า

ถ้าชอบก็แชร์ได้ครับ

หรือจะแชร์ save เก็บไว้ก็ได้ (รู้ว่าจำได้ไม่หมดหรอก)

ถ้ามีใครเอาไปใช้แล้วเวิร์คก็บอกได้นะครับ

และถ้าใครมีเทคนิคอื่น ๆ อีกก็มาคอมเม้นต์ได้เช่นกันครับ

job hugging
Up Next:

JOB HUGGING มีงานก็ต้องกอดไว้ก่อน

JOB HUGGING มีงานก็ต้องกอดไว้ก่อน